ผมฝันเห็นภาพสวนป่ามานานแล้วตั้งแต่เด็กๆ เป็นสวนสวยๆ ที่มีต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ มีสระน้ำใหญ่ๆ มีกระท่อมไม้เอาไว้พักผ่อน เมื่อก่อนทำงานประจำอยู่ ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ต่อมาเมื่อพ่อแม่ยกที่ดินให้ ผมก็จึงคิดทำขึ้นมาในพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ 3 งาน ตอนแรกๆ ก็คิดไปทำไป อยากได้แบบไหนก็ค่อยๆ ทำขึ้นมา อยากปลูกอะไรก็ปลูก ลองผิดลองถูกแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ในหัวยังมีภาพในฝันอยู่เสมอ
ที่ผ่านมาก็มีปัญหาบ้าง เช่น ชนิดไม้ไม่เหมาะสม ไม่ทนน้ำท่วมเพราะเป็นที่ลุ่ม ไม่ทนแล้งเพราะบางทีฝนทิ้งช่วง บางทีก็มีโรคแมลงรบกวน แต่ปัญหาเรามาเรียนรู้เพิ่มเติมทีหลังได้จากอินเตอร์เน็ตและปราชญ์ชาวบ้าน อย่างไรก็ตามผมไม่เคยห่างหายจากภาพจินตนาการในฝันของผมเลย
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
ลัดเลาะดูสวน!! หลังฝนตก
ช่วงฤดูแล้งต้นไม้ส่วนใหญ่ผลัดใบ มองไปเห็นใบไม้ร่วงหล่นไม่น่าดู แต่หลังจากได้ฝนสัก 2 - 3 ครั้ง ต้นไม้จะเริ่มแตกใบอ่อน เขียวชะอุ่มน่าดูมาก น้ำในสระหรือในท้องร่องก็เช่นกัน ช่วงฤดูแล้งขาดน้ำ น้ำแห้งไม่น่าดู แต่พอเข้าฤดูฝน ได้น้ำฝนมาเก็บในสระในท้องร่องบ้าง บัวสายก็เริ่มแตกก่อ ออกดอก มองไปทางไหนก็สดชื่นดี มีความสุข
ผักในแปลงเพอร์มาคัลเจอร์
คราวก่อนผมเขียนถึงวิธีการทำแปลงเพอร์มาคัลเจอร์ (Permaculture) ไปแล้ว (คลิ๊กที่นี่) เท่าที่ผมรู้มาถ้าเป็นวัตถุอินทรีย์ที่สดอยู่ จะใช้เวลา 1 - 2 ปี กว่าจะย่อยสลายและปลูกพืชผักได้ แต่เนื่องจากวัตถุอินทรีย์ ใบไม้ กิ่งไม้ ฟางข้าวของผมเป็นวัสดุที่แห้งแล้ว ผมจึงลงมือปลูกหลังจากทำแปลงเพียง 1 สัปดาห์ เมล็ดผักที่หว่าน ได้แก่ ผักบุ้งและคะน้า ส่วนที่นำมาปลูกจากการเพาะชำมาก่อน คือ ตำลึงและแก้วมังกร ระยะเวลานับจากหว่านเมล็ด ประมาณ 25 วัน ผมได้กินผักบุ้งแล้ว ส่วนคะน้าและอื่นๆ ก็เติบโตได้ดีเช่นกัน
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
คนเปลี่ยนโลก
ที่สวนลุงเดช ผมไปเก็บเมล็ดพันธุ์ไม้มะฮอกกานี ,เหลืองปรีดียาธร และอื่นๆ มาเอง นำมาเพาะประมาณ 1 เดือน แล้วย้ายลงถุง ขนาด 3x6 นิ้ว ผมลงมือเพาะเมล็ดในหน้าร้อนและจะปลูกในหน้าฝนที่จะมาถึง ดูแลรดน้ำไปอีกประมาณ 1-2 ปี หลังจากนั้นต้นไม้จะเติบใหญ่ของมันเอง อะไรที่เป็นไม้ป่าก็จะอายุยืนนานชั่วลูกชั่วหลาน ถ้าไม่ใช่ไม้ป่าก็อายุสั้นหน่อยแต่ก็ปลูกใหม่ได้ ถ้าอยากให้โลกน่าอยู่ สดชื่น รื่นรมย์ ร่มเย็น เราเองนี่แหละคือผู้เปลี่ยนโลก
อย่าเป็นคนจนที่มีแต่เงิน
ยุคนี้ใครๆ ก็อยากมีเงิน คนมีเงินมากได้รับการยกย่องเชิดชูว่าเป็นผู้มีเกียรติในสังคม คนที่ทำเงินได้มากถือกันว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จ เป็นคนมีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ จึงทำให้หลายคนบูชาเงินเป็นพระเจ้า และมุ่งหน้าหาเงินแม้แต่ทำเรื่องผิดกฎหมายก็ทำ ในเรื่องนี้ผมมีความเห็นว่า เงินมีความสำคัญก็จริง แต่มีพอสมควรกับค่าใช้จ่ายและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับอนาคตบ้างก็พอ เรียกว่าพอกินพอใช้ไม่เดือดร้อน แต่สิ่งที่ควรหามากกว่าเงินคือความสุขต่างหาก
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
เดินตามหลักการเกษตรกรรมธรรมชาติ
ที่สวนลุงเดช ผมยังคงเดินตามหลักการของเกษตรกรรมธรรมชาติอยู่เหมือนเดิม ผมไม่ต้องการทำงานหนักตลอดชีวิต ผมไม่ต้องการทำแล้วทำอีก ปลูกแล้วปลูกอีกอยู่ตลอดไป ผมเชื่อว่าการทำการเกษตรที่ถูกต้อง งานจะต้องลดลง แต่ความเป็นอยู่จะดียิ่งขึ้นและมีความสุข หลักการของเกษตรกรรมธรรมชาติ มีอยู่ 4 ข้อ คือ 1.ไม่ไถพรวนดิน 2.ไม่กำจัดวัชพืช (แต่ควบคุมวัชพืช) 3.ไม่ใช้สารเคมี และ 4.ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ผมปฏิบัติตามนี้ ที่เหลือปล่อยให้ธรรมชาติเป็นผู้ดูแลของมันเอง
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
ทำสวนให้เป็น Food Forest
เรายังคงเดินหน้าสู่การเป็น Food Forest อยู่ต่อไป ซึ่งเป็นแนวคิดในเรื่องของการปลูกป่าแบบผสมผสานระหว่างไม้ยืนต้น พืชผัก ผลไม้ และไม้กินได้อื่นๆ อีกหลากหลายชนิด ให้สามารถอยู่ด้วยกันได้ และเกื้อกูลกันเอง ลดการพึ่งพาทรัพยากรจากภายนอกให้ได้มากที่สุด เรามุ่งหวังในเรื่องของการบริโภคเองเป็นสิ่งแรก หากเหลือก็แบ่งปันแจกจ่าย และขายตามลำดับ ภาพเหล่านี้คือ พืชผัก ผลไม้ที่อยู่ในสวนครับ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

























































